-ศาสนาทั้งผองพี่น้องกัน ...ยากเกินกว่าจะเป็นจริง-
ทะไลลามะองค์ที่ 14 มีปณิธานแรงกล้าที่จะสร้างความปรองดองระหว่างศาสนา โดยที่ศาสนิกยังคงความเป็นตัวของตัวเอง ยึดมั่นศรัทธาในศาสนาของตน พร้อมกับเคารพอย่างจริงใจต่อศาสนาอื่น ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเป็นปณิธานที่น่าชื่นชมและยากเย็นสาหัส
ตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ศาสนาเป็นเงื่อนปมสำคัญของความขัดแย้ง การฆ่าฟัน และสงครามจวบจนปัจจุบัน และมันไม่ได้คงอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่ผูกโยงกับปัจจัยอื่นๆ เลย เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมคิดว่าปณิธานของทะไลลามะองค์ที่ 14 ยากจะเป็นจริง
‘ศาสนาทั้งผองพี่น้องกัน: วิถีสู่ความปรองดองในหมู่ศาสนา’ หรือ ‘Toward the True Kinship of Faiths:
How the world’s religions can come together’ ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2010 เพิ่งมีการแปลเป็นภาษาไทยเมื่อเดือนมกราคม 2563 จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา แปลโดยนัยนา
นาควัชระ
ทะไลลามะองค์ที่
14
บอกเล่าการเดินทางทางความคิดอย่างเปิดเผยว่า หากตนไม่ต้องอพยพจากทิเบตไปลี้ภัยอยู่ที่อินเดีย
ความคิดตื้นเขินที่ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีที่สุดก็คงติดตัวไปตลอดชีวิต ทว่า
การมาพักพิงในอินเดียซึ่งเป็นบ่อเกิดของศาสนาอันหลากหลายช่วยให้เขาตระหนักว่าตนคิดผิด
“หลังจากที่ข้าพเจ้าหลุดออกมาจากมุมมองที่คับแคบว่าศาสนาของตนเป็นศาสนาที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
การมีทัศนะเช่นนั้นพอจะเข้าใจได้สำหรับคนที่ด้อยประสบการณ์และไม่เคยออกไปพบโลกภายนอก...
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความหลงใหลได้ปลื้มตนเอง
และแม้แต่เป็นความหยิ่งผยองที่เกิดจากความไม่รู้”
เนื้อหา 4 จาก 10 บท เล่าถึงประสบการณ์ที่ทะไลลามะองค์ที่ 14 ได้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับศาสนาหลักๆ ของโลก-ฮินดู
คริสต์ อิสลาม ยูดาย-และความคิดที่มีต่อศาสนาเหล่านั้น ผู้เขียนเน้นย้ำว่า
“การจะสร้างความสมานฉันท์ที่แท้จริงระหว่างศาสนาบนพื้นบานของความเข้าใจอันดีต่อกัน
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการยอมรับว่าทุกศาสนาเหมือนกันโดยพื้นฐาน”
“การจะสร้างความปรองดองได้สำเร็จจะต้องไม่พยายามปกปิดความแตกต่างระหว่างศาสนาด้วยการสร้างภาพว่าอันที่จริงแล้วศาสนาทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียว
หรือพยายามน้ำข้อเด่นของแต่ละศาสนามาผสมผสานกันเพื่อให้ได้ศาสนาสากล
แต่เราจะต้องประกาศให้ชัดเจนว่าศาสนาทั้งหลายแตกต่างกันและเฉลิมฉลองความแตกต่างเหล่านั้น”
เพราะแต่ละศาสนาไม่มีทางเหมือนกัน
ศาสนาเทวนิยมและศาสนาอเทวนิยมมีรากฐานทางปรัชญาที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ ถึงกระนั้น
ทะไลลามะองค์ที่ 14
กลับมองเห็นจุดบรรจบร่วมกันประการหนึ่งของทุกศาสนานั่นคือ ความกรุณา ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานของทุกศาสนา
ทะไลลามะองค์ที่
14 ยังวิเคราะห์เหตุของความขัดแย้งระหว่างศาสนาว่ามี
2 สาเหตุหลัก
หนึ่ง-ความขัดแย้งทางองค์กรศาสนาซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ที่ ‘อำนาจ’ ไม่ว่าจะในทางการเมือง เศรษฐกิจ เชื้อชาติ
หรือสถาบัน เป็นความขัดแย้งของผลประโยชน์ที่มีศาสนาบังหน้า
และสอง-เกิดจากความไม่สอดคล้องกันของศรัทธาความเชื่อ
ทั้งในศาสนาเดียวกันและต่างศาสนา
การที่ศาสนิกจำนวนหนึ่งนำความเชื่อทางศาสนาจุดชนวนความรุนแรงจึงเป็นความหลงผิดเฉพาะบุคคล
มิใช่ที่ศาสนา
ผู้เขียนเห็นว่าทางออกคือ
‘พหุนิยม’ ทางศาสนา ซึ่งคำนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก
และผมเองก็ไม่มีความสามารถพอจะร่วมถกเถียงด้วย
เอาเป็นว่าสิ่งที่ทะไลลามะองค์ที่
14
เรียกร้องคือการยอมรับความแตกต่างระหว่างศาสนาและเคารพ ‘ความเป็นจริง’ ของผู้อื่น โดยที่ศาสนิกยังสามารถศรัทธาต่อความจริงในศาสนาของตนเองได้
“สำหรับข้าพเจ้า
พุทธศาสนาย่อมดีที่สุด แต่ก็มิได้หมายความว่าพุทธศาสนาจะดีที่สุดสำหรับทุกคน
ไม่ใช่แน่นอน!
สำหรับเพื่อนมนุษย์นับล้านของข้าพเจ้า
คำสอนแบบเทวนิยมคือวิถีที่ดีที่สุดสำหรับเขา...
“ตัวข้าพเจ้าในฐานะชาวพุทธจะต้องไม่ยึดติดกับพุทธศาสนาของข้าพเจ้าอย่างมีอัตตา
เพราะการทำเช่นนั้นจะปิดกั้นไม่ให้มองเห็นคุณค่าของศาสนาอื่น”
สำหรับผม ทะไลลามะองค์ที่
14 ถือว่ามีขันติธรรมและความใจกว้างอย่างยิ่ง
เมื่อเทียบกับเรื่องราวของบรรดาศาสนิกไม่ว่าจะในศาสนาใดทั้งในและต่างประเทศที่ผมมักได้ยิน
มิพักต้องกล่าวถึงชาวพุทธในบางประเทศที่ชื่นชมยินดีกับการกวาดล้างชาวโรฮิงญาในพม่าและถือมั่นอย่างยึดติดกับศาสนาของตนว่าดีที่สุด
กระทั่งสามารถนำมาใช้ได้กับทุกเรื่องราวอันซับซ้อนของโลกใบนี้
แต่การที่ผมคิดว่าปณิธาณของทะไลลามะองค์ที่
14 ยากจะเป็นจริง
ผมย่อมมีเหตุผล (ซึ่งผู้เขียนจะแตะประเด็นนี้ไม่มาก)
เนื่องจากศาสนาไม่ได้ดำรงตนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ใช่แค่อยู่ท่ามกลางสังคมและวัฒนธรรม
แต่ในหลายๆ ครั้ง ศาสนาแทรกซึมเป็นเนื้อเดียวกันกับอัตลักษณ์ของคน-เผ่าพันธุ์
เชื้อชาติ ความเป็นชาติ เป็นต้น
ลองนึกดูว่าวันที่ศาสนา
‘ของ’ ตนถูกแตะต้อง มันคงไม่ใช่เพียงความรู้สึกว่าศาสนาที่ฉันยึดถือถูกลบหลู่
มันไปไกลกว่านั้น มันทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงต่ออัตลักษณ์ของตน ชาติที่สั่นคลอน
เชื้อชาติที่ถูกโจมตี ทั้งที่หากคิดด้วยเหตุผลอย่างจริงจังแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่ศาสนา
ชาติ เชื้อชาติ หรืออัตลักษณ์จะเป็นสิ่งเดียวกันได้
ไม่เชื่อก็ให้นึกถึงคำขวัญหลักของกองทัพบางประเทศที่
‘ศาสนา’ เป็นอีกหนึ่งสถาบันที่ต้องรักษา ทั้งที่การบำรุงรักษาศาสนาไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพแต่อย่างใด
ผมจึงไม่แน่ใจว่าความปรองดองระหว่างศาสนาจะเกิดขึ้นได้จริงในระดับใหญ่โตกว้างขวางเกินกว่าความสัมพันธ์ระดับปัจเจกไปมากนัก
ที่ผมแน่ใจได้ก็คือพลันที่ศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ความรุนแรง และสงคราม มนุษย์จะฆ่ากันโดยไม่ออมมืออีกต่อไป
ความคิดเห็น