-ส่งเสียงดังๆ ว่าไม่เอาทุนนิยมแบบจอมพลสฤษดิ์ -
เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวพัฒนาการของทุนนิยมและเศรษฐกิจได้สนุกทีเดียว ถ้าจะมีจุดให้ติงบ้างคงเป็นชื่อและคำโปรยปกหลังที่พาให้คิดว่าเป็นการเล่าโมเดลเศรษฐกิจสามสี แต่เอาเข้าจริง ‘เศรษฐกิจสามสี’ เป็นเพียง 1 ใน 4 ส่วนของเล่มเท่านั้น
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ผู้เขียน เป็นอาจารย์อยู่ที่ National Graduate Institute for Policy Studies (GRIPS) ประเทศญี่ปุ่น หนังสือหนา 236 หน้านี้พยายามชวนผู้อ่านไปดูเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออก ทุนนิยมที่มีหลากหลายเฉด อนาคตของประเทศไทย และโมเดลเศรษฐกิจสามสี พิมพ์กับสำนักพิมพ์ BOOKSCAPE
มีเรื่องน่าสนใจว่า ปี 1960 ธนาคารโลกเริ่มเก็บข้อมูลประเทศรายได้ปานกลาง 101 ประเทศ เมื่อผ่านไป 50 ปี ประเทศที่ก้าวไปสู่ประเทศร่ำรวยมีเพียง 13 ประเทศเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีไทยรวมอยู่ด้วย
ซึ่งมันวกกลับมาสู่คำถามที่ว่าทำไมไทยจึงยังติดกับประเทศรายได้ปานกลาง
ทั้งที่เราเริ่มต้นพัฒนาประเทศไล่เลี่ยกับเกาหลีใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์
ผู้เขียนพาเราไปสำรวจวิธีการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่เอ่ยชื่อไปข้างต้น
ซึ่งก็ทำให้เห็นอีกว่าวิธีการพัฒนาไม่ได้มีแค่หนทางเดียว
แต่การที่ไทยไปไม่ถึงไหนเพราะเราติดกับดัก เปล่า, ไม่ใช่กับดักประเทศรายได้ปานกลาง
นั่นมันเป็นผล
เราติดกับดักมรดก ‘ทุนนิยมแบบจอมพลสฤษดิ์’ คือการเป็นพันธมิตรระหว่างทุนใหญ่ นายธนาคาร เทคโนแครต
และมีราชการเป็นศูนย์กลาง
“ทุนนิยมไทยโดยเฉพาะช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 จึงมีลักษณะเติบโตเร็วแต่เหลื่อมล้ำสูง
และขับเคลื่อนไปในทิศทางที่สมประโยชน์ของเครือข่ายธนาคาร-นายทหาร-เทคโนแครต”
ถ้าตีความแบบผม
ทุนนิยมไทยจนถึงตอนนี้จึงเป็นทุนนิยมที่กันคนจำนวนมากออกไปจากสมการ เป็นทุนนิยมพวกพ้องที่จำกัดผู้ได้รับผลประโยชน์เพียงกลุ่มเล็กๆ
เท่านั้น กับดักอีกตัวคือการนำตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจมาปะปนกับการพัฒนาประเทศ
ซึ่งผู้เขียนย้ำว่า มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับวีระยุทธ
ถามเขาว่าจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนผู้เขียนจะเชื่อในเรื่องของตลาด
ทว่า เขาปฏิเสธ ผู้เขียนเชื่อเรื่อง ‘การแข่งขัน’
มากกว่า ‘ตลาด’ เพราะตลาดสามารถผูกขาดได้
ดังที่เราคงเห็นกันอยู่คาหนังคาเขา
ในหนังสือวีระยุทธเล่าถึงคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าของสหภาพยุโรปที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขันไม่ให้บริษัทใดมีอำนาจเหนือตลาดมากเกินไปจนบั่นทอนการแข่งขัน
ย้อนกลับมาที่ไทย
อันที่จริงมีเรามีคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าก่อนประเทศอื่นๆ ในอาเซียน แต่แทบไม่เคยทำอะไรได้เลย
ล่าสุด มีการปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้าแล้ว ผลงานจะเป็นอย่างไร ตอบไม่ได้
ยังต้องรอดู
ส่วนสุดท้าย วีระยุทธเสนอว่าไทยควรพาตนเองเข้าไปอยู่ในโมเดลธุรกิจใหม่
หาโอกาสใหม่ๆ ที่ประกอบด้วยสีเขียวหรือสิ่งแวดล้อม สีเงินหรือตลาดผู้สูงอายุ
และสีทองหรือกติกาใหม่ของทุนนิยมที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ
ภายในเล่มยังมีข้อถกเถียงโลกแตกอีกหลายประเด็น
เช่น รัฐและตลาดควรมีบทบาทมากแค่ไหน การสร้างรัฐสวัสดิการ
นโยบายอุตสาหกรรมของประเทศ เป็นต้น
ประเด็นที่ผมสนอกสนใจเป็นพิเศษคือเรื่องการแข่งขัน
ทั้งคุณและผมคงเคยเกิดคำถามปวดใจบ่อยครั้ง
ยามต้องเผชิญกับสินค้าหรือบริการที่ไม่ประทับใจเอาเสียเลย แต่กลับทำอะไรไม่ได้
(ผมถึงขั้นรู้สึกอัดอั้นคับแค้นกันเลยทีเดียว)
เพราะถ้าไม่ใช้สินค้าหรือบริการของเจ้านี้ ก็ไม่รู้จะใช้ของเจ้าไหน นั่นแปลว่า ‘เราไม่มีทางเลือก’ และที่เราไม่มีทางเลือกก็เป็นผลพวงจากการที่เราขาดการแข่งขัน
มีเพียงเจ้าใหญ่ๆ ไม่กี่เจ้าที่ครอบงำตลาด
คำถามใหญ่มากๆ อยู่ที่ว่า แล้วเราจะสร้างการแข่งขันได้อย่างไร?
ถ้าให้ผม-ซึ่งไม่ได้มีความรู้เศรษฐศาสตร์เป็นชิ้นเป็นอัน-ตอบ
คงตอบแบบกว้างเป็นมหาสมุทรว่า ต้องหลุดจากทุนนิยมแบบจอมพลสฤษดิ์ ทุนนิยมแบบพวกพ้อง
การจะทำเช่นนี้ได้ ไม่มีทางเลี่ยงการเมืองได้พ้น
เพราะการเมืองและเศรษฐกิจต่างกำหนดกันและกัน
ผู้เขียนเขียนไว้ในท้ายของบทบทหนึ่งว่า
“นัยที่สำคัญกว่านั้นก็คือ
ความหลากหลายของทุนนิยมนี้ไม่ใช้ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
แต่เป็นผลจากการออกแบบด้วยมือมนุษย์ โดยเฉพาะการต่อรองระหว่างกลุ่มต่างๆ
ว่าจะสร้างรัฐให้มีรูปร่างหน้าแบบไหน และจัดวางความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจ แรงงาน
เกษตรกร หรือชนชั้นกลางอย่างไร”
การเมืองคือการต่อรอง
คำถามที่ใหญ่ยิ่งกว่าคือเราจะบีบให้รัฐที่สร้างทุนนิยมแบบพวกพ้องนี้ขึ้นมา
‘ฟัง’
เสียงของเราได้อย่างไร?
...ก็ต้องส่งเสียงของเราให้ดัง
ความคิดเห็น