อยู่กับความหลากหลาย: รู้จักและตั้งคำถามเชิงปรัชญากับศาสนาอิสลาม



ผมคาดว่าการรีวิวหนังสือเล่มนี้น่าจะส่งผลบางอย่าง ไม่ว่าจะบวกหรือลบ ไม่ว่าจากผู้ที่นับถือศาสนาใด เพราะผมทั้งบอกเล่าและตั้งคำถามแม้ว่าจะไม่มีเจตนาร้ายก็ตาม และดังนั้น ผมจึงยืนยันถึงเสรีภาพในการแสดงออกและพร้อมสนทนาแลกเปลี่ยน

ผมรู้ดีว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อย รวมถึงพระ เกลียดกลัวศาสนาอิสลามและชาวมุสลิม ทั้งเหตุการณ์ 9/11 ขบวนการไอเอสในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่เพาะบ่มความเกลียดกลัว และถ้าคุณติดตามความเคลื่อนไหวในเพจที่ชูประเด็นการปกป้องพุทธศาสนาบางเพจที่บางครั้งก็ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชาวมุสลิม ทั้งหมดนี้ทำให้ผมเข้าใจได้ว่าทำไมผู้คนจำนวนหนึ่งจึงมีอาการเกลียดกลัวมุสลิม (Islamophobia)

และที่มักเข้าใจผิดกันมากก็คือ มุสลิม เหมือนกันหมดทั้งโลก

ใช่, ศาสนาอิสลามมีคำสอนและหลักปฏิบัติบันทึกในคัมภีร์อัลกุรอาน แต่ชาวมุสลิมไม่ได้เหมือนกันหมดนะครับ แค่ชาวมุสลิมเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ ก็ต่างกันแล้ว ไม่มีศาสนาใดในโลกที่เผยแผ่ไปถึงดินแดนใดแล้วไม่ปรับหรือผสมผสานกับวัฒนธรรมของดินแดนนั้น ประเด็นนี้มานุษยวิทยาบอกได้ชัดเจน

ผมได้รับหนังสือ คู่มืออย่างย่นย่อเพื่อเข้าใจอิสลาม เรียบเรียงโดย อิบรอฮีม อบู หัรบฺ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งหนึ่ง โดยส่วนตัวเป็นคนสนใจแนวคิดของศาสนาต่างๆ อยู่แล้ว ที่ห้องก็มีทั้งหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา คัมภีร์อัลกุรอาน และคัมภีร์ไบเบิ้ล นอกจากสนใจ ผมยังตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ด้วย

ดังนั้น ผมจะเล่าถึงหลักการของอิสลามในหนังสือเล็กๆ เล่มนี้ รวมถึงตั้งคำถามเชิงปรัชญาที่ศาสนาที่นับถือพระเจ้าต้องเผชิญมาอย่างยาวนานและชี้ให้เห็นมิติทางการเมืองเล็กๆ ระหว่างศาสนาอิสลามกับศาสนาคริสต์ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ

ครึ่งแรกของหนังสือพยายามให้เหตุผลว่า ทำไมคัมภีร์อัลกุรอานจึงเป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าที่มอบให้กับศาสนาทูตมุหัมหมัดหรืออีกนัยหนึ่งก็คือการพิสูจน์ให้เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่จริง

วิธีพิสูจน์คือการนำวิทยาศาสตร์มายืนยัน โดยการระบุว่าถ้อยคำในคัมภีร์อัลกุรอานที่จดจารเมื่อ 1,400 ปีก่อนสอดคล้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน เช่น การปฏิสนธิ ธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา เป็นต้น รวมถึงคำพยากรณ์ในคัมภีร์ที่เกิดขึ้นจริงในภายหลัง

สำหรับผม ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาแสดงควบคู่กับถ้อยคำในคัมภีร์อัลกุรอานมีลักษณะเป็นการเลือกรับข้อมูลที่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนเชื่อหรือที่เรียกว่า confirmation bias โดยตีความถ้อยคำให้เข้ากับความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ที่น่าสนใจในความคิดผมยิ่งกว่าก็คือ ศาสนายืนอยู่บนหลักศรัทธา ขณะที่วิทยาศาสตร์ยืนอยู่บนหลักเหตุผลและการพิสูจน์เชิงประจักษ์ พูดง่ายๆ ว่าอยู่กันคนละขั้ว แต่ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม กลับดูเหมือนต้องพึ่งพิงสิ่งหลังเพื่อค้ำจุนศรัทธา

ส่วนที่ 2 ของหนังสือกล่าวถึงประโยชน์ของศาสนาอิสลามซึ่งมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ ประตูสู่สรวงสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร การช่วยให้พ้นจากขุมนรก ความเกษมสำราญและความสันติภายในอย่างแท้จริง และการให้อภัยต่อบาปที่ผ่านมาทั้งปวง

ส่วนที่ 3 กล่าวถึงความเชื่อพื้นฐานของศาสนาอิสลาม ได้แก่ การเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า การเชื่อในเรื่องมะลาอิกะฮฺ ความเชื่อในคัมภีร์ที่ทรงเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้า ความเชื่อในศาสนทูตและผู้ถือสารของพระผู้เป็นเจ้า ความเชื่อในเรื่องวันพิพากษา และความเชื่อในกฎแห่งสภาวะดี-ชั่ว

นอกจากนี้ ยังมีเสาหลักทั้ง 5 ของศาสนาอิสลามที่ชาวมุสลิมต้องประพฤติปฏิบัติ ประกอบด้วยการปฏิญาณตนในเรื่องความศรัทธา การละหมาด การให้ซะกาตหรือการจ่ายทรัพย์ช่วยเหลือผู้ยากไร้ การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และการแสวงบุญที่นครมักกะฮฺ

อีกบางส่วนพูดถึงสิทธิมนุษยชนในศาสนาอิสลาม การไม่เห็นด้วยกับลัทธิก่อการร้าย วันพิพากษาเป็นอย่างไร
ทีนี้ มาถึงเรื่องความเชื่อของศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม เท่าที่ผมเข้าใจชาวคาทอลิกเชื่อว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าตามหลักตรีเอกานุภาพที่ประกอบด้วยพระบิดา พระบุตร และพระจิต แต่ศาสนาอิสลามไม่เชื่อเช่นนี้ พระผู้เป็นเจ้าของชาวมุสลิมมีเพียงหนึ่งเดียวและพระเยซูก็ไม่ใช่บุตรของพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ให้ความเคารพนับถือในฐานะศาสนทูตอีกคนหนึ่งเหมือนกับมุหัมหมัด ชื่อของพระเยซูในคัมภีร์อัลกุรอานเรียกว่า อีซา ทั้งไม่เชื่อด้วยว่าพระเยซูเสียชีวิตบนไม้กางเขน แต่เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้ารับตัวพระเยซูสู่สรวงสวรรค์ก่อนและนำบุคลิกลักษณะของพระเยซูใส่เข้าไปในร่างของอีกคนหนึ่งแทน

เนื้อหายังระบุด้วยว่า แม้ชาวมุสลิมจะเคารพนับถืออีซา แต่ไม่ได้เชื่อในคัมภีร์ไบเบิ้ล เพราะไม่ใช่คัมภีร์ที่เปิดเผยโดยพระผู้เป็นเจ้า

สำหรับผมนี่คือการเมืองระหว่างศาสนา

คราวนี้ก็มาถึงตัวอย่างคำถามเชิงปรัชญาที่ศาสนาที่นับถือพระเจ้าทั้งคริสต์และอิสลามต้องเผชิญมาตลอดหลายร้อยปี

1-คำอธิบายในเรื่องความเชื่อในกฎแห่งสภาวะดีและชั่วบอกว่า พระผู้เป็นเจ้าประทานความอิสระให้แก่มนุษย์ที่จะเลือกทำดีหรือชั่ว แต่ในบรรทัดถัดมากล่าวถึงความเชื่อในลิขิตแห่งพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นการเชื่อใน 4 สิ่งคือหนึ่ง-พระผู้เป็นเจ้าหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่งว่าอะไรเกิดขึ้นและอะไรจะเกิดขึ้น สอง-ทรงบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจะเกิดขึ้นทั้งหมดไว้ สาม-อะไรที่ประสงค์ให้เกิดก็จะเกิดส่วนที่ไม่ประสงค์จะให้เกิดก็จะไม่เกิด และสี่-เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง

พิจารณาดูดีๆ การประทานความอิสระให้มนุษย์กับข้อ 3 ออกจะขัดแย้งกันอยู่มากทีเดียว

2-เรื่องวันพิพากษา คนบาปจะตกนรกชั่วนิรันดร์ คนดีจะขึ้นสู่สวรรค์ชั่วนิรันดร์ คำถามคือจุดไหนเป็นเส้นแบ่งระหว่างคนบาปและคนดี เพราะทุกคนล้วนแต่เคยทำบาปและดี แล้วคนทำบาป 100 กับคนทำบาป 1,000 ทำไมทั้งสองคนต้องตกนรกชั่วนิรันดร์เหมือนกัน ทำไมคนทำบาปน้อยกว่าจึงไม่ตกนรกในเวลาน้อยกว่า และเมื่อพระผู้เป็นเจ้าคือผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา เมื่อคนบาปรับโทษทัณฑ์เพียงพอแล้ว เหตุใดจึงไม่ให้โอกาสเขาได้ทำดีชดเชยหรือได้ขึ้นสวรรค์

ในหนังสือยังกล่าวถึงศาสนทูตมุหัมหมัดซึ่งเล่าว่า หญิงคนหนึ่งผู้ขังแมวจนตายถูกพิพากษาให้ตกนรก ส่วนชายคนหนึ่งตักน้ำในบ่อให้หมาที่กระหายกิน พระผู้เป็นเจ้าจึงยกเลิกบาปทั้งปวงให้ ลองจินตนาการดูว่าถ้าหญิงดังกล่าวทำดีมาค่อนชีวิตและชายคนนี้ทำบาปมาค่อนชีวิตล่ะ? นี่เป็นปัญหาเรื่องความยุติธรรม

ผมยังสงสัยอีกจุดหนึ่งที่ว่า หญิงที่ขังแมวจนตายถูก พิพากษาผมเข้าใจว่าวันพิพากษาทั้งของคริสต์และอิสลามคือวันสุดท้ายของสุดท้าย วันที่ผู้ที่ตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาฟังคำพิพากษา ทำไมหญิงคนนี้จึงถูกพิพากษาหรือมันเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แน่นอนครับ ในสังคมสมัยใหม่ ศาสนา พุทธแบบไทยๆ เองก็ต้องเจอกับคำถามท้าทายจำนวนมากเช่นกัน จะมากขึ้นและแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับขันติธรรมของผู้ศรัทธาในแต่ละศาสนาว่าจะรับมืออย่างไร ควรยอมรับด้วยว่าผู้ที่มีความคิดสุดโต่งมีอยู่ในทุกศาสนา และในคัมภีร์ของศาสนาหลักๆ ของโลกต่างมีเนื้อหาที่กล่าวถึงความรุนแรงหรือตีความเพื่อใช้ความรุนแรงได้ทั้งสิ้น

แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญมากๆ ก็คือ เราไม่สามารถกำจัดคนที่เราเกลียดกลัวให้หมดไปจากโลกนี้ สิ่งที่เราทำได้คือการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และมีขันติธรรม เพื่ออยู่ร่วมกับความแตกต่างหลากหลายที่เพิ่มมากขึ้นบนโลกนี้ให้ได้

ความคิดเห็น

Unknown กล่าวว่า
Easy "water hack" burns 2 lbs OVERNIGHT

At least 160000 women and men are hacking their diet with a easy and secret "water hack" to lose 2lbs each and every night while they sleep.

It is painless and it works on everybody.

Here's how you can do it yourself:

1) Hold a glass and fill it up with water half full

2) And then do this awesome HACK

and be 2lbs lighter the very next day!

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

-ความรักที่ไม่โรแมนติก "ความรักเป็นทักษะ ไม่ใช่ความรู้สึก"-

-เมื่อเราฆ่ากันในนามศาสนา เราจะไม่ปราณีและออมมือ-

-พุทธจัดในศรีลังกาและการฆ่าในนามของศาสนา-