-เราควรโกรธอย่างไร? ทางสายกลางแบบอริสโตเติ้ล-
ชื่อหนังสือเหมือนจะเป็นแนว
how
to ไม่ใช่
มันคือการย่อยความคิดของยักษ์ปรัชญานามอริสโตเติ้ลให้อ่านและทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ภาษาอังกฤษของผมเปราะบางเกินกว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างลื่นไหล
เวลาจำนวนหนึ่งหมดไปกับการหาความหมายของคำศัพท์
ถึงกระะนั้นก็น่าจะคุ้มค่ากับความพยายาม
ผมอ่านไปได้เพียง
20 หน้า สิ่งที่อยากเล่าคือทำไมผมจึงสนใจหนังสือเล่มนี้
คนที่สนใจปรัชญาจริยศาสตร์ต้องเคยได้ยินการสร้างมาตรวัดทางศีลธรรมของเหล่านักปรัชญา
ที่คุ้นเคยกันมากหน่อยคือแนวอรรถประโยชน์นิยมที่เชื่อว่าความสุขมากที่สุดของคนจำนวนมากที่สุดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แนวคิดนี้มุ่งที่ผลลัพธ์เป็นหลัก
อีกแนวคิดหนึ่งคือหน้าที่นิยมของค้านท์ที่เชื่อว่าศีลธรรมมีเกณฑ์ที่แน่นอน มนุษย์มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตาม การกระทำทางศีลธรรมเราต้องคิดเสมอว่าสิ่งนั้นจะเป็นกฎทั่วไปได้หรือไม่และเราควรปฏิบัติต่อมนุษย์โดยไม่มองว่าเป็นเป้าหมายเพื่อให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น
แนวคิดแบบค้านท์จึงสนใจทั้งวิธีการและผลลัพธ์ ...เป็นความรู้ที่ผมจะมีบ้างเล็กน้อย
แต่จริยศาสตร์แบบอริสโตเติ้ลต่างออกไป เขาให้ความสำคัญกับ virtue ถ้าแปลเป็นไทยคือคุณธรรม ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันตรงกับนัยความหมายของคำอังกฤษแค่ไหน จากความเข้าใจที่เคยรับรู้และสนทนากับนักวิชาการด้านปรัชญามาบ้าง แกนความคิดหลักของอริสโตเติ้ลคือทางสายกลาง หรือ golden mean คุณธรรมคือสิ่งที่อยู่ระหว่างความสุดขั้วของ 2 ด้าน เช่น ความมุทะลุบ้าบิ่นตรงข้ามกับความขลาดกลัว golden mean จึงเป็นความกล้าหาญ การประจบสอพลอตรงข้ามกับความเย่อหยิ่งจองหอง golden mean ก็คือการเคารพตนเอง
นั่นหมายความว่าจริยศาสตร์ในความคิดของอริสโตเติ้ลไม่ได้มีมาตรวัดที่ตายตัว
ทว่า เปิดที่ทางให้เราใคร่ครวญว่าในสถานการณ์หนึ่งๆ
เราจะเลือกกระทำสิ่งใดและด้วยเหตุผลใดที่จะไม่ล้นเกินหรือขาดพร่อง
จุดเริ่มต้นความสนใจจริยศาสตร์ของอริสโตเติ้ลมาจากวงเสวนาครั้งหนึ่งที่ผมไปร่วม
วิทยากรพูดถึงอารมณ์โกรธ อริสโตเติ้ลไม่ได้มีมุมมองต่อความโกรธว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย
แต่มันจะชั่วร้ายถ้าความโกรธนั้นมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
golden
mean ของอริสโตเติ้ลต่ออารมณ์โกรธอยู่ที่ว่า
เราต้องรู้สึกโกรธในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม
โกรธด้วยเหตุผลที่ถูกต้องและด้วยวิธีที่ถูกต้องต่างหาก พูดแบบบ้านๆ
ได้ว่าเวลาที่เราโกรธ เราต้องรู้ว่าควรโกรธใคร โกรธแค่ไหน โกรธอย่างไร
และทำไมเราจึงควรโกรธ
ครั้งแรกที่ผมได้ยินแนวคิดนี้
ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากเพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ทำไม? เพราะวัฒนธรรมที่ผมเติบโตมาปกคลุมด้วยแนวคิดของพุทธศาสนาที่มีมุมมองด้านลบต่อความโกรธ
(คงเคยได้ยินให้ละโลภ โกรธ หลง) เราไม่ควรโกรธ ความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี
เป็นพิษต่ออารมณ์และตัวเราเอง ผมก็คิดว่า เฮ้ย
ผมไม่ควรโกรธกับโครงสร้างสังคมที่โคตรเหลื่อมล้ำ กับความอยุติธรรม
กับการเลือกปฏิบัติ กับกดขี่ผู้ที่อ่อนแอกว่าที่เกิดขึ้นมากมายในประเทศนี้หรือ?
แน่นอน ผมคิดว่าควรโกรธ ต้องโกรธ และผมก็โกรธ
มองแบบอริสโตเติ้ล
ความโกรธจึงไม่ใช่ความเลวร้าย
แต่เป็นพลังงานที่ผลักดันให้มนุษย์ลงมือทำบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลง
เราจึงต้องโกรธอย่างมีเหตุผล โกรธแค่ไหน และโกรธอย่างไร
สิ่งที่ตามมา
ผมตั้งคำถามกับทางสายกลางในปรัชญาพุทธ (ไม่ใช่ศาสนาพุทธ) ว่ามันคืออะไรกันแน่
ทำไมเราต้องละทิ้งความโกรธหรือรับรู้ว่ามันเกิดขึ้น ดับไป และปล่อยวาง
ซึ่งเมื่อเทียบกับอริสโตเติ้ล ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ทางสายกลาง
ปรัชญาพุทธมีทางสายกลางระหว่างความโกรธกับการวางเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรือเก็บกลั้นความโกรธหรือเปล่า?
ทางสายกลางของพุทธกับทางสายกลางของอริสโตเติ้ลจึงน่าจะมีความหมายที่ต่างกันอย่างมาก
สำหรับผมแล้ว
ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนขึ้นทุกวี่วัน
ทางสายกลางแบบอริสโตเติ้ลจึงมีแง่มุมที่ดึงดูดกว่า น่าค้นหากว่า
และชวนครุ่นคิดมากกว่า
ทั้งหมดนี้ผมพูดจากความรู้อันจำกัดจำเขี่ย
น่าจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่ไม่น้อย
เชื่อว่ามีผู้รู้ทางปรัชญาอีกมากที่สามารถอธิบายจริยศาสตร์และทางสายกลางของอริสโตเติ้ล
ความโกรธและทางสายกลางในปรัชญาพุทธได้คมชัดกว่านี้
ซึ่งถ้าจะช่วยอธิบายให้ผมได้เข้าใจมากขึ้น ผมจะดีใจมาก
หวังว่าผมจะมีความพยายามและเรี่ยวแรงอ่านจนจบ
ด้านล่างนี้เป็นลิงค์งานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่พูดถึงจริยศาสตร์ของอริสโตเติ้ลครับ
ความคิดเห็น