-และรู้ว่าเรากำลังสู้กับอะไรก็พอ-


ผมเป็นคนหนึ่งที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ หยุดบ้าง ซ้อมบ้าง ถึงตอนนี้กินเวลากว่า 2 ทศวรรษแล้ว และยังคงฝึกซ้อมอยู่

ผมเหมือน Joe Hyams ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ตรงที่ชอบทำความรู้จักและเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้หลากหลายชนิด เริ่มตั้งแต่มวยไทยโบราณสายหนึ่ง ไอคิโด มวยสากล บราซิลเลี่ยน จูจิตสึหรือบีเจเจ แล้วก็คาราเต้สายโกจูริว มวยจีน เทควันโด ยูโด คาโปเอร่า และอื่นๆ ตามโอกาส อย่างละนิดละหน่อย ศิลปะการต่อสู้ 4 ประเภทแรกผมใช้เวลากับมันค่อนข้างนานกว่าชนิดอื่น

เซนในศิลปะการต่อสู้ บอกเล่าเรื่องราวการฝึกฝนและเชื่อมโยงแนวคิดระหว่างศิลปะการต่อสู้กับศาสนาพุทธนิกายเซน และการนำสองสิ่งนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นหนังสือเก่าทีเดียว เล่มที่ผมมีเป็นฉบับครั้งที่ 5 ปี 2546 หนังสือระบุจำนวนครั้งในการพิมพ์ถอยกลับไปถึงเพียงครั้งที่ 3 คือปี 2531 แปลโดยวันทิพย์ สินสูงสุด สำนักพิมพ์สายใจ

ดูจากหน้าปก หน้าเครดิต และเนื้อหาด้านใน เข้าใจว่าเป็นการแปลและพิมพ์ในช่วงที่เรื่องลิขสิทธิ์ยังไม่เข้มงวดเท่าปัจจุบัน ทั้งตัวผู้แปลเองก็เป็นไปได้ว่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้มากนัก ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้เพราะมีเนื้อความที่แปลว่า “...ผมจะแสดง คาถา หรือแบบฝึกหัดหลายอย่างที่ผมเคยเรียน” Joe Hyams ฝึกคาราเต้มาก่อน อนุมานได้ทันทีว่าผู้แปลแปลจากคำว่า kata-กาตะหรือกาต้า แล้วแต่ออกเสียง ซึ่งหมายถึงชุดท่ารำของคาราเต้ ไม่ใช่ คาถา แน่นอน หรือการแปลคำว่า ki ในไอคิโดว่า คี ซึ่งควรแปลโดยออกเสียงว่า คิ

ความคิดของ Joe Hyams ก็คือศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่เพียงการฝึกฝนและขัดเกลาทักษะทางด้านร่างกายเท่านั้น หากยังเป็นการฝึกฝนและขัดเกลาทางใจ หรืออาจรวมถึงจิตวิญญาณด้วย ตามวิถีของเซน เขาอ้างอิงคำพูดของชาวพุทธว่า ทุกแห่งล้วนเป็นโดโจ (โดโจคือโรงฝึก) และเซนเซหรืออาจารย์ผู้สอนศิลปะการต่อสู้เปรียบได้กับคุรุเซน ที่ทั้งไม่แสวงหาและไม่ผลักไสศิษย์ และสอนศิษย์ให้เข้าใจภาวะภายในของตน

มีหลายบทที่ชวนไตร่ตรอง เช่น ทำเส้นของคุณให้ยาวขึ้น Joe Hyams เล่าถึงการซ้อมต่อสู้เคมโป คาราเต้กับคู่ต่อสู้ที่หนุ่มกว่า แข็งแรงกว่า และนิ่งกว่า เขาพ่ายแพ้ อาจารย์ของเขาที่ชื่อเอ็ด พาร์กเกอร์ สังเกตเห็นความว้าวุ่นของ Joe Hyams เขาตอบอาจารย์ว่า “เพราะผมทำอะไรเขาไม่ได้เลย”

เอ็ด พาร์กเกอร์ หยิบชอล์กแท่งหนึ่ง แล้วขีดเส้นยาว 5 ฟุต ถาม Joe Hyams จะทำให้เส้นนี้สั้นลงได้อย่างไร?

คุณคิดว่าต้องทำอย่างไร? ตัดมันออก? ลบมันออก? แบ่งส่วน?

แล้วเอ็ดก็เฉลยคำตอบที่ทั้ง Joe Hyams และผมคาดไม่ถึง เขาขีดอีกเส้นหนึ่งที่ยาวกว่าเส้นแรก ทำให้เส้นยาว 5 ฟุตสั้นลงทันที เพราะในความเป็นจริงเราตัดเส้นหรือก็คือการฝึกซ้อมของอีกฝ่ายไม่ได้ เราทำได้เพียงขยายเส้นของเราให้ยาวขึ้น

Joe Hyams ยังโชคดี ได้ฝึกจีทคุนโดกับบรู๊ซ ลี ยอดนักศิลปะการต่อสู้ ซึ่งบรู๊ซ ลีบอก Joe Hyams ว่า เขาจะเรียนรู้อะไรใหม่ไม่ได้เลย หากไม่เรียนรู้ข้อจำกัดของตนเสียก่อน บรู๊ซ ลี จึงเล่าว่าการที่ตนฝึกศิลปะการต่อสู้ก็เนื่องจากข้อจำกัดเช่นกัน บรู๊ซ ลี สายตาสั้นตั้งแต่เด็ก ถ้าคู่ต่อสู้ไม่อยู่ในระยะประชิด เขาก็มองไม่เห็น นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกฝึกมวยหย่งชุนเป็นสิ่งแรกกับปรมาจารย์ยิปมัน ซึ่งคอหนังชาวไทยน่าจะรู้จักกันดี

คงเห็นได้ว่า 2 บทเรียนนี้นำไปประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่บนสังเวียน

หลังอ่านจบ ผมเกิดคำถามในใจข้อหนึ่งว่า เหตุใดครูมวยยุคห้าสิบหกสิบปีก่อนจึงแนะนำด้านจิตใจและวิธีคิดแก่ผู้เรียน ขณะที่ปัจจุบันกลับไม่ค่อยปรากฏ อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ของตัวผมเอง

คำตอบเท่าที่พอนึกออก ครูมวยยุคก่อนยังคงสืบทอดแนวทางการสอนจากครูมวยรุ่นก่อนหน้า ไม่ใช่เพียง ผู้ฝึกสอน แต่เป็น ผู้ขัดเกลา ด้วย อีกทั้งในอดีตจำนวนผู้เรียนและคลาสอาจไม่มากเท่ายุคนี้ ทำให้ครูมวยมีเวลาทุ่มเทให้กับผู้เรียน ทั้งด้านทักษะการต่อสู้และจิตใจ ตรงข้ามกับปัจจุบันที่ทุกอย่างราคาสูงขึ้น การฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้มีความเป็นธุรกิจและกีฬาสูง ครูมวยจึงทำหน้าที่ได้เพียงผู้ฝึกสอนด้านทักษะทางร่างกาย ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่คิดว่าคนยุคนี้จะต้องการคำชี้แนะทางจิตใจและจิตวิญญาณจากผู้ฝึกสอนแล้ว

อ่านถึงตรงนี้อาจคิดว่าผมกำลังตำหนิติเตียนการสอนศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบัน เปล่า, ผมมองว่ามันเป็นความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่ยากหลีกเลี่ยง อันที่จริง รูปแบบการสอนศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบันก็มีข้อดีประการสำคัญที่การฝึกสอนในแบบดั้งเดิมหรือ traditional ไม่มี นั่นก็คือ การพัฒนา

ไม่ได้จะบอกว่าศิลปะการต่อสู้สมัยก่อนหยุดนิ่งกับที่นะครับ มันต้องมีการปรับ ประยุกต์ ดัดแปลงอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะช้ากว่า โดยเฉพาะวิธีการฝึกซ้อมที่มักยึดติดกับของเดิมก็ทำให้ศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมถูกท้าทายจากศิลปะการต่อสู้ยุคใหม่โดยเฉพาะศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานหรือ MMA ซึ่งพัฒนาทั้งเทคนิคและวิธีการฝึกซ้อมเร็วมาก ผสานกับวิทยาศาสตร์การกีฬา โภชนาการ และอื่นๆ ตัดสิ่งที่มองว่าฟุ่มเฟือยออกไป คงไว้เฉพาะเทคนิคที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น

ตลอดกว่า 2 ทศวรรษที่ผมฝึกศิลปะการต่อสู้ สิ่งที่พบเจอไม่เคยห่างหายคือการเมือง มิตรต้องแตกแยกกันเพราะวิธีคิดในการสืบทอดวิชาต่างกัน รุ่นพี่-รุ่นน้องต้องหมางเมินกันเพราะแย่งชิงความเป็นของแท้ และที่มีอยู่เสมอมาและน่าจะเสมอไปคือความเชื่อว่าศิลปะการต่อสู่ที่ตนฝึกนั้นดีที่สุด อะไรทำนองนี้ทำผมหยุดฝึกไปช่วงใหญ่ๆ ทีเดียว

สรุปคือมันเป็นเรื่องของจริตล้วนๆ ชอบแบบไหน ฝึกแบบนั้น ตั้งเป้าหมายอะไรไว้ก็ดั้นด้นไปให้ถึง และรู้ว่าเรากำลังสู้อะไรก็พอ

อยากเล่าเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อครั้งฝึกศิลปะการต่อสู้ใหม่ๆ ผมก็เหมือนหลายๆ คนนั่นแหละ คือฝันว่าจะเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ขยัน ตั้งอกตั้งใจฝึกซ้อมเทคนิค แต่ก็ต้องเผชิญความพ่ายแพ้เป็นระยะ ยิ่งตอนฝึกบีเจเจด้วยแล้ว ความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่ผมแบกกลับมาเสมอหลังฝึกเสร็จ เนื่องจากผมเป็นคนตัวเล็ก การต้องปล้ำบนพื้นกับคู่ซ้อมที่ตัวใหญ่กว่า น้ำหนักมากกว่า หมายความว่าผมต้องมีเทคนิคที่เหนือกว่ามากทีเดียว พยายามแล้วพยายามเล่าก็ยังแพ้มากกว่าชนะ

สุดท้ายการฝึกศิลปะการต่อสู้ของผมจึงเป็นการสู้กับตนเองมากกว่า ใช้มันเป็นเครื่องพิสูจน์ความทนทานต่อความพ่ายแพ้ของตัวเอง

ในวัย 40 ผมกลับมาฝึกซ้อมมวยสากล การวิ่งมาราธอนมอบปอด หัวใจ และกล้ามเนื้อขาที่ทรงพลังให้ผมยืนระยะการซ้อมได้โดยไม่เหนื่อยสักเท่าไหร่ ผมถามเทรนเนอร์ว่า กีฬาชกมวยมีแบ่งรุ่นอายุหรือเปล่า? คำตอบคือไม่มี อาจพูดได้ว่านี่เป็นคำถามที่ไม่เจียมเนื้อตัวเอาเสียเลย เพราะมันกำลังบอกว่าผมอยากขึ้นชก ทั้งที่รู้ว่าโอกาสชนะแทบไม่มี คนรอบข้างก็ห่วงว่าผมจะโดนน็อกหรือเจ็บหนัก แล้วผมก็ไม่ใช่จอร์จ โฟร์แมนที่จะสามารถทวงบัลลังก์แชมป์ได้อีกครั้งในวัย 45 ผมเชื่อว่าในการซ้อมไม่ว่าจะมวยสากล บีเจเจ หรืออื่นๆ ในอนาคต ไม่มีทางที่ผมจะหนีพ้นความพ่ายแพ้ แต่นั่นไม่สำคัญแล้วสำหรับผมในตอนนี้

สิ่งที่สำคัญกว่า ผมอยากรู้ว่าตนเองจะทนแบกรับปริมาณความพ่ายแพ้ได้มากแค่ไหน เพราะมันอาจบ่งบอกว่าผมแข็งแกร่งได้แค่ไหน

เพราะไม่ว่านักศิลปะการต่อสู้คนใดก็ล้วนมีคู่ต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะร่วมกัน-เวลา

 

ข้อความใน  ‘…’  ผมเคยเล่าไว้ใน หมัดที่คลายออก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

-เมื่อเราฆ่ากันในนามศาสนา เราจะไม่ปราณีและออมมือ-

-ความรักที่ไม่โรแมนติก "ความรักเป็นทักษะ ไม่ใช่ความรู้สึก"-

-พุทธจัดในศรีลังกาและการฆ่าในนามของศาสนา-