-เราจะพบว่าตัวเองเปล่าเปลี่ยวเดียวดายมากขึ้นเรื่อยๆ-
22 เมษายน 1970 หรือปี 2513 เกิดการชุมนุมของคนอเมริกัน 20 ล้านคน เรียกร้องให้โลกเห็นปัญหาเร่งด่วนด้านสิ่งแวดล้อม เป็นจุดเริ่มต้นของวันคุ้มครองโลกที่เราคุ้นชื่อในปัจจุบัน
50 ปีผ่านนับจากวันคุ้มครองโลกครั้งแรก โลกเราจะไปทางไหนต่อในอีก 50 จากนี้? เป็นคำถามที่น่าสนใจที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อ NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับภาษาไทยประจำเดือนเมษายน เมื่อ NG ให้คำตอบ 2 ความเป็นไปได้คือเรารักษาโลกไว้ได้และเราสูญเสียโลกไป
คำตอบแรกดูจะไม่หนักแน่นมั่นคงสักเท่าไหร่ในความคิดผม
ผู้เขียนในส่วนนี้พยามยามแสดงให้เห็นว่ามุนษย์พัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำมากมาย
ซึ่งมันจะช่วยให้เราดูแลโลกนี้ได้ รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานนิวเคลียร์สะอาด
โดรนสำหรับผสมเกษร พลังงานสะอาดรูปแบบต่างๆ ที่จะมาทดแทนพลังงานฟอสซิล
รวมถึงการนำเสนอคนรุ่นใหม่ๆ ที่พยายามเรียกร้องหรือทำอะไรบางอย่างเพื่อสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของคำตอบแรกมีตอนหนึ่งที่มอบให้กับการขับรถยนต์ไฟฟ้าข้ามประเทศสหรัฐฯ
จากฝั่งตะวันตกสู่ฝั่งตะวันออก และแวะเล่าเรื่องราวระหว่างทางถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่ว่า
ทว่า
มันดูเป็นการเล่าเรื่องราวที่สัมพันธ์กับบริบทของอเมริกาและโลกตะวันตกมากกว่าโลกทั้งใบ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้
เท่าที่ผมจำเนื้อหาได้ ไม่มีการพูดถึงการลดการบริโภค
ในส่วนของคำตอบที่ 2 กลับดูหนักแน่นมั่นคงกว่ามาก
เพราะขณะที่คำตอบแรกฝากไว้กับการคาดคะเนและความหวัง คำตอบที่ 2 ปักหลักบนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงมากขึ้น ทั้งไฟป่า น้ำท่วม พายุ คลื่นความร้อน
การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล น้ำแข็งขั้วโลกละลาย การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
ข้อมูลระบุว่าในอีก 50 ปีข้างหน้า เมืองฟินิกซ์
ในสหรัฐอเมริกาจะมีภูมิอากาศเหมือนบาลูจิสถานในปากีสถาน
คลื่นความร้อนจะเกิดถี่ขึ้น ความร้อนที่เพิ่มต่อเนื่องยังจะทำให้งาน 43 ล้านตำแหน่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรของเอเชียใต้ต้องหายไป
กรุงฮานอยจะมีภูมิอากาศไม่เหมือนที่ใดในโลก มีสัตว์อีกกว่า 30,000 ชนิดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
แต่เรามองเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้
เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องสู่ชีวิตมนุษย์ อย่างการสูญเสียตำแหน่งงานที่ว่าไป
การแย่งชิงน้ำ การแย่งชิงที่ดินทำกิน ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน
ความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ
ผมเชื่อว่าตนเองมีเวลาเหลือไม่มากพอจะอยู่ถึง
50 ปีข้างหน้า ถึงกระนั้น
ฉากแนวหนังวันสิ้นโลกก็ฉายระยิบระยับในจินตนาการ มันอาจเป็นการคาดเดาที่เกินจริง
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ผมไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีสักเท่าไหร่
คำถามที่สำคัญกว่าโลกจะอยู่ต่อหรือแตกดับน่าจะอยู่ที่ว่า
เราจะทำอะไรได้บ้าง ณ ปัจจุบัน อีกเช่นกัน คำพูดทำนองว่าจงเริ่มที่ตัวเรา
อย่างน้อยเราก็เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลง ...สวยหรู
แล้วการกระทำของปัจเจกเพียงพอแค่ไหน ผมไม่แน่ใจ ปัญหาหลายอย่างเป็นเรื่องใหญ่ระดับนโยบายที่ต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลง
ในทางกลับกัน
หลายเรื่องเป็นเรื่องลึกระดับจิตสำนึกภายในและพฤติกรรมซึ่งก็ต้องอาศัยเจตจำนงเฉพาะตนที่แน่วแน่
ผมไม่คิดว่า ‘ทั้งโลก’ มีสิ่งเหล่านี้มากพอ อาจรวมถึงตัวผมด้วย
อนาคต เราอาจมีเทคโนโลยีโดรนผสมเกสรแทนผึ้ง
ผีเสื้อ และแมลงอื่นๆ
เราอาจสร้างเนื้อปลาสังเคราะห์ได้โดยไม่ต้องอินังขังขอบกับปริมาณปลาที่ลดลงอย่างรวดเร็วในมหาสมุทร
และอีกมากมาย แต่...
‘…มนุษย์อาจประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์โดรนช่วยผสมเกสร
(ปัจจุบันมีการทดสอบใช้แล้ว) และอาจคิดหาวิธีจัดการกับระดับทะเลที่กำลังสูงขึ้น
พายุที่เกรี้ยวกราดขึ้น และภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นได้ พืชดัดแปรพันธุกรรมชนิดใหม่ๆ
อาจช่วยให้เรามีอาหารเลี้ยงประชากรที่เพิ่มขึ้นได้แม้ขณะที่โลกร้อนขึ้น
เราอาจค้นพบว่าถึงที่สุดแล้ว “สายใยแห่งชีวิตที่เชื่อโยงสัมพันธ์กัน”
ไม่ใช่ปัจจัยจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์
‘สำหรับบางคน
ทั้งหมดนี้อาจฟังดูเหมือนผลลัพธ์ที่น่ายินดี แต่ในความคิดของฉัน
นี่เป็นความเป็นได้ที่น่ากลัวกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะหมายความว่า
เราสามารถเดินไปตามเส้นทางในปัจจุบันต่อไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด นั่นคือ ทำให้ชั้นบรรยากาศเปลี่ยนไป
พื้นที่ชุ่มน้ำเหือดหาย มหาสมุทรว่างเปล่า ท้องฟ้าปราศจากสิ่งมีชีวิต
และเมื่อปลดแอกตนเองจากธรรมชาติได้แล้ว
เราจะพบว่าตัวเองเปล่าเปลี่ยวเดียวดายมากขึ้นเรื่อยๆ เว้นแต่อาจจะมีโดรนแมลงของเราคอยเป็นเพื่อน’
ข้อความของเอลิซาเบท
โคลเบิร์ตที่ทิ้งท้ายไว้ในสารคดีเรื่อง ‘เหตุผลของคนมองโลกแง่ร้าย’
ผมเห็นด้วยกับเธอ
ความคิดเห็น