-หรือเราอยู่ในเขาวงกตของโลกเสมือน?-
มันดูย้อนแย้งนิดหน่อยที่การพูดถึงหนังสือเล่มนี้อยู่บนเครือข่ายโซเชียล
มีเดีย ที่เป็นแกนหลักของ ‘เศรษฐกิจของการดึงดูดความสนใจ’ คำที่หนังสือเล่มนี้ใช้
สารภาพว่าก่อนหน้านี้เฟสบุ๊คมีผลต่อสุขภาพจิตอันปรวนแปรของผมมากทีเดียว
ทันทีที่ผมเห็นโฆษณาหนังสือเล่มนี้ ผมจึงตัดสินใจซื้อทันทีแบบไม่ยั้งคิด
ความแปลกประหลาดของชีวิตคือยังไม่ทันได้รับหนังสือด้วยซ้ำ
การใช้เฟสบุ๊คของผมดันน้อยลงไปเองอย่างมีนัยสำคัญ จนไล่ตามกระแสความนึกคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น
ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้เวลากับโซเชียล
มีเดียวันละหลายๆ ชั่วโมง คุณอาจมีปฏิกิริยาต่อ ‘ดิจิทัล มินิมัลลิสม์’ หรือ ‘Digital Minimalism’ เขียนโดย Cal Newport ผู้แปลคือบุณยนุช ชมแป้น สำนักพิมพ์ broccoli ในเครือมติชน 2 แบบ แบบแรกคือ “แกจะมายุ่งอะไรกับชีวิตฉัน
ฉันจะเล่นโซเชียล มีเดีย แค่ไหน ยังไง มันก็เรื่องของฉัน” แบบที่ 2 “ใช่ ฉันใช้เวลากับโซเชียล มีเดียมากเกินไปแล้ว
ฉันควรลดการเล่นลง”
ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบไหน
หนังสือเล่มนี้ก็ให้ข้อมูลน่าสนใจและข้อคิดที่ชวนให้ไตร่ตรอง
ผมขอเริ่มด้วยบทสรุปของหนังสือเล่มนี้
(ไหงงั้น?) เพราะมันบอกหัวใจสำคัญของแนวคิดหรือปรัชญา (คำที่ผู้เขียนใช้) ดิจิทัล
มินิมัลลิสม์ แนวคิดนี้ไม่ใช่การต่อต้านเทคโนโลยี ไม่ได้บอกให้คุณเลิกใช้มัน แต่เป็นการ...
“มองเทคโนโลยีว่าเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมสิ่งที่พวกเขา
(ชาวดิจิทัล มินิมัลลิสม์) ให้คุณค่าอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่ที่มาของคุณค่าเหล่านั้น”
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี
แต่เป็นเรื่องคุณภาพชีวิต”
“เราต้องการใช้เครื่องมืออะไร
ด้วยเหตุผลอะไร และภายใต้เงื่อนไขอะไรด้วยตัวเองอย่างมั่นใจ นี่ไม่ใช่การต่อต้าน
นี่คือการใช้วิจารณญาณ”
ดังนั้น
ถ้าคุณรู้ว่าคุณใช้โซเชียล มีเดีย เว็บ สตรีมมิ่งหนัง หรือใดๆ
ก็ตามในโลกอินเตอร์เน็ตเพื่ออะไร มันไม่ครอบงำคุณ และมันยังช่วยส่งเสริมคุณค่าหรือความหมายในชีวิตที่คุณยึดถือ
คุณก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า
คุณใช้มันในแบบที่ว่ามาหรือเปล่า
ผมสนใจเนื้อหาในบทที่
1 เป็นการเฉพาะ
มันบอกเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้คนหลายล้านคนทั่วโลกเสพติดการใช้โซเชียล มีเดีย
ผู้เขียนอ้างอิงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ค้นพบข้อสรุป 2 ประการคือเทคโนโลยีสามารถบ่มเพาะพฤติกรรมเสพติดได้เป็นอย่างดี
และสอง-คุณลักษณะที่ทำให้เกิดการเสพติดเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลายๆ
กรณีไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นลักษณะที่ผ่านการออกแบบทางวิศวกรรมมาอย่างตั้งใจ
นอกจากนี้
ยังมีปัจจัยทางจิตวิทยาอีก 2
ข้อคือการเสริมแรงเชิงบวกเป็นครั้งคราวหรือการได้รับรางวัลบางอย่างที่คาดเดาไม่ได้
ทำให้สมองหลั่งสารโดพามีน ฮอร์โมนแห่งความสุข และปุ่ม ‘ถูกใจ’ เฟสบุ๊คเริ่มใช้ในปี 2009 ก็คือสิ่งเดียวกัน ข้อต่อมาคือแรงขับเพื่อการยอมรับทางสังคม
ข้อนี้น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก ฌอน ปาร์กเกอร์ ประธานผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ค พูดในปี 2017 ว่า
“กระบวนการคิดเบื้องหลังการสร้างแอปพลิเคชั่นต่างๆ
ซึ่งเฟซบุ๊กเป็นเจ้าแรกในบรรดาทุกแอป...ล้วนเกี่ยวกับคำถามว่า ‘เราจะดึงเวลาและความสนใจของคุณมาให้มากที่สุดได้อย่างไร’ นั่นหมายความว่าเราต้องอัดโดพามีนให้คุณนิดๆ
หน่อยๆ นานๆ ครั้ง ตอนที่มีคนมากดไลก์ คอมเมนต์รูป คอมเมนต์โพสต์
หรืออะไรก็แล้วแต่”
ผู้เขียนใช้คำว่า
“มันคือการเล่นกับความเปราะบางของจิตวิทยามนุษย์”
เนื้อหาส่วนที่เหลือเป็นการแนะนำวิธีการเป็นดิจิทัล
มินิมัลลิสต์ โดยเริ่มจากหลักการดิจิทัล มินิมัลลิสม์ 3 ข้อ
-ความรุงรังมีราคาแพง
ถ้าคุณหมกมุ่นอยู่กับเทคโนโลยีใดมากจนเกินไป ผลเสียย่อมมากกว่าผลบวก
-การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดคือสิ่งสำคัญ
การจะเลือกใช้เทคโนโลยีใด สิ่งนั้นจะต้องก่อประโยชน์สูงสุดและส่งเสริมคุณค่าที่ตนยึดถือ
-ความตั้งใจสร้างความพึงพอใจ
เป็นความพึงพอใจจากการตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีด้วยตนเองและมีอิสระที่จะเลือก
คำแนะนำในการเป็นดิจิทัล
มินิมัลลิสต์แบบเร่งรัด 3 ข้อ
ประกอบด้วย หยุดการใช้เทคโนโลยีทางเลือกต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต 30 วัน, ระหว่าง 30 วันให้สำรวจว่าอะไรคือกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่คุณพึงพอใจและมีความหมายเมื่อได้ลงมือทำ
สุดท้าย หลังผ่านไป 30 วัน
ให้คุณนำเทคโนโลยีทางเลือกที่หยุดใช้ไปกลับมาพิจารณาว่า เทคโนโลยีไหนที่สร้างคุณค่าต่อชีวิตคุณและจะใช้มันเพื่อคุณค่าสูงสุดอย่างไร
หนังสือยกตัวอย่างผู้คนจำนวนหนึ่งที่ใช้กระบวนการนี้แล้วค้นพบว่า
การไม่ใช้เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรืออินสตาแกรม อาจทำให้กระวนกระวายในช่วงแรก
แต่หลังจากนั้นคนเหล่านี้ก็พบว่าพวกเขาใช้ชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้หรือใช้มันเท่าที่จำเป็น
หลายแสนปีที่มนุษย์วิวัฒนาการผ่านการปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้าค่าตาหรือการพูดคุยแม้จะไม่เห็นหน้า
(โทรศัพท์) แต่เพียงทศวรรษกว่าๆ นี่เองที่การแชทแปรรูปเป็นการสนทนา
ซึ่งเรามักมีปฏิกิริยาทุกครั้งที่เสียงเตือนดังขึ้น เราจะกุลีกุจอตอบกลับ มันเป็นการปฏิสัมพันธ์ชนิดใหม่ที่ขัดแย้งกับวิวัฒนาการของมนุษย์และส่งผลเสียต่อสุขภาวะ
ผู้เขียนเห็นว่าเราควรกลับมาให้ความใส่ใจกับ ‘การสื่อสารที่ยึดบทสนทนาเป็นหัวใจ’ กลับไปพูดคุยกันด้วยเสียง ด้วยการนัดพบ
หรือแม้แต่การใช้วีดิโอคอลก็ยังได้
อย่าให้การสนทนาหลงเหลือเพียงแค่ตัวอักษรดิจิทัล
(ใน 100 เปอร์เซ็นต์ ภาษาที่เราพูดออกไปสื่อสารได้ไม่ถึง
10 เปอร์เซ็นต์
แต่น้ำเสียง โทนเสียง สีหน้า ท่าทาง อวัจนภาษาต่างๆ คือสัดส่วนใหญ่ที่ทำให้การสื่อสารบรรลุผลและเข้าใจอีกฝ่ายได้
นับอะไรกับแค่ตัวหนังสือ)
ทุกวันนี้
ไม่ว่าจะคนรุ่นใหม่หรือเก่า คุ้นเคยกับการดึงโทรศัพท์ฉลาดขึ้นมาไถๆๆ เวลาที่ไม่มีอะไรทำ
ไม่ว่าจะตอนอยู่บ้าน รอรถ กินข้าว หรือใช้เพื่อความบันเทิง ถ้าหยุดมัน แล้วจะเอา ‘เวลา’ ตั้งมากมายไปทำอะไรล่ะ? ผู้เขียนแนะนำให้หากิจกรรมที่ต้องลงมือ
ใช้แรง เคลื่อนไหวร่างกาย การเข้าสังคมเพื่อสนทนากันจริงๆ เรียนสิ่งใหม่
และจัดเวลาสำหรับเล่นมือถือเป็นการเฉพาะ
เราทุกคนต่างตระหนักดีว่า
มากไปหรือน้อยไป มักไม่ดี ทว่า มนุษย์มีข้อจำกัดในการตระหนักรู้ตัวเองและเฉลียวฉลาดในการหาเหตุผลเพื่อทำหรือไม่ทำบางสิ่ง
สำหรับคนที่มีอาชีพข้องเกี่ยวกับโลกโซเชียล
มันยากเย็นอยู่ที่จะลดการใช้ ประเด็นคือผู้ใช้ต้องรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรกับเทคโนโลยีและใครเป็นฝ่ายใช้ใคร
“เวลาของคุณ=เงินของพวกเขา
(เจ้าของธุรกิจเทคโนโลยี)”
ส่วนตัวผม
ผมยอมรับแนวคิดนี้ในมิติการทวงคืนอิสรภาพและเวลาของตัวผมเองจากเทคโนโลยี
มันชัดเจนมาก ผมมีเวลาสะสางงานมากขึ้น ทำสิ่งที่รักมากขึ้น จิตใจผันผวนน้อยลง
และช่วยให้มีพลังงานชีวิตเพิ่มขึ้น
หลายครั้งที่ผมพูดถึงมินิมัลลิสม์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว
ในเพจ หรือการสนทนาธรรมดา มันไม่ใช่การใช้สินค้าที่ออกแบบด้วยแนวคิดมินิมัลลิสม์เก๋ไก๋และราคาแพง
แต่มันคือการค้นหาสิ่งที่สำคัญ มีความหมายต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง และมอบอิสรภาพให้แก่ตัวเรา
ถ้าคุณเชื่อว่าการใช้เวลากับโซเชียล
มีเดียนานๆ เป็นสิ่งที่สำคัญ มีความหมาย และให้อิสรภาพกับคุณ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือทำตามคำแนะนำในหนังสือ
ในทางกลับกัน ถ้าเทคโนโลยีเป็นแค่ส่วนผสมเล็กๆ ในชีวิตคุณอยู่แล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือทำตามคำแนะนำในหนังสืออีกนั่นแหละ
ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า
ชีวิตที่ดี ขั้นต่ำที่ต้องมี คือชีวิตที่มีอิสรภาพ เราคงไม่อยากถูกสิ่งใดกักขังจากอิสรภาพในการใช้ชีวิต
ถ้าข้อมูล ข่าว รูปภาพ คลิปที่ท่วมทะลักในอินเตอร์เน็ต ทำให้เราติดอยู่ในเขาวงกต ทุกข์ใจกับยอดไลค์ต่ำๆ
จนพาลคิดว่าฉันไม่มีคุณค่าเลยไม่มีใครสนใจ ขุ่นเคืองและริษยากับภาพชีวิตดีๆ
(ที่อาจไม่จริงเลย) ของคนอื่นในเฟส ทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกยอดไลค์ ยอดแชร์ นี่อาจไม่ใช่สัญญาณที่ดี
อย่างไรก็ตาม
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเรื่องของตัวคุณเอง คำถามสำคัญยิ่งยวดที่แต่ละคนต้องถามและหาคำตอบด้วยตนเองจึงอยู่ที่ว่า
ณ เวลานี้ ตัวเราเป็นอิสระจากเทคโนโลยีหรือเรากำลังตกเป็นทาสของมัน ถ้าเจอคำตอบ
...นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากแล้ว
ความคิดเห็น