-เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยอคติ-
ด้วยชื่อหนังสือและชื่อสำนักพิมพ์
มันอาจทำให้ผู้เห็นหนังสือเล่มนี้บนชั้นไขว้เขวพอประมาณ มองว่าเป็นหนังสือ How to ที่จะทำให้ผู้อ่านฉลาดขึ้น
คิดได้เฉียบคมขึ้นเหมือนกับชื่อหนังสือ
คือก็ไม่ได้ผิดอะไรถ้าจะมอง
‘The Art of Thinking Clearly’ หรือ ‘52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม’ เขียนโดย Rolf
Dobelli แปลโดยอรพิน ผลพนิชรัศมี จากสำนักพิมพ์ WE LEARN ว่าเป็นหนังสือ How to เพราะมันก็มองแบบนั้นได้จริงๆ
แต่สำหรับผม
นี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งในการตรวจสอบอคติของตนเองเมื่อต้องอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ
มากมายที่มักหลอกล่อให้เราหลงเชื่อ
หนังสือเล่มนี้พูดถึงอะไร?
มันพูดถึงความคิด
ความเชื่อ และการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ของเราว่ามีข้อบกพร่องและจุดที่ควรระมัดระวังมากมาย
มิเช่นนั้นเราจะตกหลุมพรางอคติของตนเองและทำให้ความคิดที่กลั่นกรองออกมาอาจไม่ดีดังที่คาดหวัง
หรืออาจถูกหลอกจากข้อมูล แม้กระทั่งหลอกตัวเอง
คงไม่สามารถพูดถึงอคติหรือกับดักทางความคิดทั้ง
52 ข้อได้ ผมขอยกตัวอย่างบางข้อที่ผมชื่นชอบ เช่น...
Swimmer’s body
illusion หรือภาพลวงตาว่าด้วยรูปร่างของนักว่ายน้ำ
มันเป็นอคติรูปแบบหนึ่งที่ทำให้เราสับสนระหว่างปัจจัยในการคัดเลือกและผลลัพธ์
หมายความว่าอย่างไร คุณสามารถเห็นสิ่งนี้ดาษดื่นในโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณาเครื่องสำอาง
คุณเห็นดารา นางแบบ นายแบบ หน้าตาสะสวยหล่อเหลาหมดจด เล่าว่าเขาใช้โลชั่นอะไร
ครีมยี่ห้อไหน เครื่องสำอางแบรนด์ ถึงทำให้เขาและเธอเจิดจรัสถึงเพียงนั้น
Swimmer’s body
illusion กำลังบอกว่า มันคือภาพลวงตา ไม่ใช่เพราะเครื่องสำอางหรอกที่ทำให้เธอและเขาสวยงามหล่อเหลา
แต่เพราะเธอและเขาสวยงามหล่อเหลาอยู่แล้วต่างหากถึงถูกเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา
ผมยังชอบการเสียดสีเจ็บแสบของผู้เขียนในบทนี้ที่ว่า
“เวลาถามคนที่มีความสุขว่าเคล็ดลับของพวกเขาคืออะไร
ผมมักจะได้ยินคำตอบทำนองว่า “เวลาเห็นน้ำในแก้ว
คุณต้องรู้จักมองว่ามีน้ำตั้งครึ่งแก้ว ไม่ใช่แค่ครึ่งแก้ว” นั่นฟังดูเหมือนพวกเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขมาตั้งแต่เกิดแล้วและมักจะมองทุกอย่างในแง่ดีเสมอ
พวกเขาไม่รู้ว่าความร่าเริงสดใสเป็นลักษณะนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและจะคงอยู่ตลอดไป
ภาพลวงตาที่ว่าด้วยรูปร่างของนักว่ายน้ำจึงถือเป็นการหลอกตัวเองรูปแบบหนึ่ง
และเมื่อคนที่มองโลกในแง่ดีเหล่านี้เขียนหนังสือแนวพัฒนาตนเองออกมา
ภาพลวงตาดังกล่าวก็ดูจะน่าเชื่อถือมากทีเดียว
“ด้วยเหตุนี้
คุณจึงไม่ควรเชื่อทุกอย่างในหนังสือแนวพัฒนาตนเอง
เพราะมันถูกเขียนขึ้นโดยคนที่มีความสุขอยู่แล้ว พวกเขาสาธยายเคล็ดลับต่างๆ
ออกมาเต็มหน้ากระดาษ ทว่าแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับประชากรโลกหลายพันล้านคนเลย
แต่เนื่องจากคนที่ไม่มีความสุขไม่เคยเขียนหนังสือขึ้นมาบอกเล่าความล้มเหลวของตัวเอง
ข้อเท็จจริงที่ว่าจึงยังคงถูกซุกซ่อนเอาไว้ต่อไป”
Survivorship
bias หรืออคติจากการเห็นผู้อยู่รอด สิ่งนี้ก็เป็นภาพลวงตาขนาดใหญ่ภาพหนึ่งที่มีให้เห็นมากในปัจจุบัน
ซึ่งด้านหนึ่งสื่อมวลชนก็เป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างภาพลวงตานี้
เวลาที่คุณเห็นคนที่ประสบความสำเร็จด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะด้านการประกอบธุรกิจ นักร้อง นักเขียน การลงทุน ฯลฯ
คุณต้องตระหนักไว้ตลอดเวลาว่าคนเหล่านั้นเป็นเพียงผู้รอดชีวิตจำนวนน้อยจากผู้เสียชีวิตจำนวนมากบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ
เรามีนักธุรกิจ มีสตาร์ทอัพ มีนักเขียน มีคนทำเพจ และอื่นๆ ที่ล้มหายตายจากมากกว่าคนที่ประสบความสำเร็จ
เพียงแต่คนกลุ่มนี้ไม่มีโอกาสเขียนหนังสือหรือบอกเล่าตัวเองผ่านสื่อ
ก็ใครล่ะจะอยากคุยกับคนที่ล้มเหลว
หากการประสบความสำเร็จง่ายขนาดนั้นอย่างที่คนประสบความสำเร็จชอบให้สัมภาษณ์
อย่างที่หนังสือแนว How to มักการันตีกับคนอ่าน
อย่างที่บรรดาโค้ชกล่อมผู้เข้าร่วมอบรม โลกเราคงไม่มีคนจนเป็นพันล้านแบบนี้
เราคงมีคนประสบความสำเร็จเกลื่อนเมืองจนการสัมภาษณ์คนกลุ่มนี้ไม่น่าสนใจอีกต่อไป
เช่นเคย
ผู้เขียนเสียดสีได้แสบสันต์
“อคติจากการเห็นผู้อยู่รอดยังเป็นอันตรายอย่างมากในกรณีที่คุณเป็นหนึ่งใน
“ผู้อยู่รอด” เสียเอง เพราะต่อให้ความสำเร็จของคุณจะเกิดจากความบังเอิญล้วนๆ
คุณก็จะมองหาความคล้ายคลึงกันระหว่างตัวคุณกับผู้อยู่รอดคนอื่นแล้วสรุปว่ามันเป็น “ปัจจัยแห่งความสำเร็จ”
อย่างไรก็ตาม หากคุณมีโอกาสได้ไปเยือนหลุมศพของบุคคลและบริษัทที่ล้มเหลว
คุณจะพบว่าเจ้าของหลุมศพส่วนใหญ่ก็มีคุณลักษณะหลายอย่างที่ตรงกับปัจจัยแห่งความสำเร็จของคุณ”
หนังสือ
How to หรือแนวพัฒนาตนเองมักนำเสนอเป็นแพทเทิร์นเดียวกัน
เริ่มต้นทำให้คุณฮึกเหิมที่จะทำอะไรสักอย่าง อ้างงานวิจัยและผลการศึกษาทางวิชาการจำนวนมาก
ที่ขาดไม่ได้เลยคือตัวอย่างความสำเร็จของบุคคลในแวดวงต่างๆ
เพื่อนำมาสนับสนุนแนวคิดของผู้เขียนในหนังสือ จริงๆ
อันนี้ก็เป็นอคติแบบหนึ่งเหมือนกันเรียกว่า Confirmation bias หรือการหาข้อมูลต่างๆ เพื่อมายืนยันสมมติฐานของตน ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เรียกว่า
อคติจากการเลือกรับข้อมูล
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยอคติ
การรู้ว่าเรามีอคติถือเป็นความรู้แบบหนึ่ง เพราะมันช่วยให้เราระมัดระวังในการคิดใคร่ครวญ ไม่คิดเข้าข้างตนเองจนเกินไป และไม่ด่วนสรุปอะไรง่ายๆ
ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่รู้ว่าเรามีอคติ ก็เป็นไปได้มากที่เราจะหลอกตัวเองให้เชื่อสิ่งต่างๆ
ที่สอดคล้องกับสิ่งที่เราเชื่ออยู่แล้ว
บางครั้ง
อคติก็ไม่ได้สร้างผลร้ายแรงมากนัก ทว่า บางครั้งมันก็ทำให้คนเราถึงขั้นฆ่าแกงกันได้
การตรวจสอบอคติตนเองอย่างสม่ำเสมอดังที่หนังสือเล่มนี้รวบรวมไว้อาจช่วยยับยั้งโศกนาฏกรรมที่ไม่จำเป็นได้
ความคิดเห็น